มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 50 ครั้ง
จากวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรไทยกับฝรั่งเศส จากเหตุการณ์ที่รัฐบาลฝรั่งเศสส่งเรือเข้ามายังกรุงเทพฯ โดยเป็นการละเมิดอธิปไตยของฝรั่งเศสต่อไทย จึงได้เกิดการต่อสู้บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ต่างฝ่ายได้รับความเสียหาย โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้น ส่งผลให้ไทยต้องเสียค่าปฏิกรรมสงครามและดินแดนบางส่วนตามข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส ซึ่งนับเป็นการขยายอิทธิพลครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของฝรั่งเศสในภูมิภาคอินโดจีน และนำไปสู่การสูญเสียดินแดนประเทศราชของไทยในเขมรและลาวที่เหลืออยู่ในเวลาต่อมาอีกด้วย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าเพื่อให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ จึงได้เสด็จประพาสต่างประเทศหลายแห่ง ทั้งนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรปตลอดจนประเทศฝรั่งเศสด้วย อีกทั้งยังได้ทรงเลือกสรรเอาแบบแผนขนบธรรมเนียมอันดีในดินแดนเหล่านั้นมาพัฒนาในประเทศให้เจริญขึ้น นอกจากนี้ พระองค์ได้ทรงโปรดให้พระราชโอรสหลายพระองค์ไปศึกษาด้านต่าง ๆ ในต่างประเทศ รวมถึง พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ย) เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยศักดิ์ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ไปศึกษาวิชาการทหารเรือ เพื่อนำความรู้ความสามารถในการทหารเรือ มาถ่ายทอด พัฒนาและปกป้องประเทศได้ด้วยกองทัพเรือของตนเอง

เมื่อ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สำเร็จการศึกษา ได้ทรงวางรากฐานการทหารเรือของไทยตามแบบชาติตะวันตก เพื่อให้กองทัพเรือมีความเข้มแข็งและก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ รวมทั้งได้ขอพระราชทานพระราชวังเดิม กรุงธนบุรี จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจนกราบบังคมทูลเชิญ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดโรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ร.ศ.125 (พ.ศ.2449) ดังพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่กล่าวว่า “วันที่ 20 พฤศจิกายน รศ.125 เรา จุฬาลงกรณ์ ปร. ได้มาเปิดโรงเรียนนี้ มีความปลื้มใจซึ่งได้เหนการทหารเรือมีรากหยั่งลงแล้ว จะเป็นที่มั่นสืบไปในภายน่า”

กองทัพเรือของไทยมีรากหยั่งลงอย่างมั่นคง นำมาซึ่งการก่อกำเนิด และมีพัฒนาการสู่การเป็นกองทัพเรือที่เข้มแข็งมั่นคงในทุกวันนี้ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และด้วยพระกรุณาธิคุณของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ทรงมีต่อกองทัพเรือ พระองค์จึงได้รับการเคารพจากทหารเรือทุกชั้นยศอย่างจริงใจสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน และเหล่าทหารเรือทุกนายต่างยกย่องให้พระองค์เป็น “องค์บิดาของทหารเรือไทย” ชั่วนิรันดร์

ทั้งนี้ การเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงเรียนนายเรือ ในวันดังกล่าว ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของไทย และทำให้ “การทหารเรือไทย” หยั่งรากแห่งเกียรติยศและภาระหน้าที่ของทหารเรือมาตั้งแต่นั้น ซึ่ง กองทัพเรือ ได้กำหนดให้วันมหามงคลดังกล่าวเป็น “วันกองทัพเรือ” ตราบจนปัจจุบันเป็นปีที่ 119 ปี โดยกำหนดจัดงานวันกองทัพเรือ ประจำปี 2568 ประกอบด้วย พิธีทำบุญประจำปี เพื่อความเป็นสิริมงคล ณ ท้องพระโรง กรุงธนบุรี ภายใน กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม

กองทัพเรือ ยังคงดำรงความมุ่งมั่นในการปฏิบัติภารกิจหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ ในการปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ความมั่นคงปลอดภัยของพี่น้องประชาชน โดย พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบหลักคิดในการปฏิบัติงาน “BRIGHT” (behave, Reasonable, Intelligent, Goal, Gonor, Throughly)เพื่อยกระดับมาตรฐานและพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานของกำลังพลกองทัพเรือ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อนำไปสู่การเป็น “กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ” ตลอดไป
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 50 ครั้ง



