พล.ต.ท.จิรภพ หัวหน้าศูนย์ ACSC ร่วมประชุมขับเคลื่อนปราบสแกม 6 ประเทศ

มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 106 ครั้ง

พล.ต.ท.จิรภพ หัวหน้าศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์​ (ACSC) ร่วมประชุมขับเคลื่อนปราบสแกมกับ 6 ประเทศ ย้ำ ต้องปราบที่ต้นตอ-ไม่ให้ใครเป็นที่พักพิงของแก๊งสแกม

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ รองผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และคณะตำรวจไทย ร่วมประชุมรัฐมนตรี 6 ชาติ ขับเคลื่อนข้อริเริ่มร่วมปราบปรามสแกมออนไลน์-ย้ำไม่ให้มี “Safe Haven” ของแก๊งหลอกลวงในอนุภูมิภาค 6 ประเทศ จีน เมียนมา ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม

เมื่อวันที่ 14 พ.ย.68 ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีการประชุมระดับรัฐมนตรี ว่าด้วยความร่วมมือในการปราบปรามการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ โดยที่ประชุมได้หารือสถานการณ์การหลอกลวงข้ามชาติและโทรคมนาคมออนไลน์ที่ทวีความรุนแรง สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางสังคม และสิทธิประโยชน์ของประชาชนทุกประเทศอย่างร้ายแรง และได้บรรลุฉันทามติร่วมในการยกระดับความร่วมมือเชิงปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม จนนำไปสู่ ข้อริเริ่มร่วมว่าด้วยการปราบปรามและจัดการอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ (Joint Initiative to Combat and Govern Telecom and Online Fraud Crimes)”

โดยมีข้อสรุปความร่วมมือที่สำคัญ ดังนี้

1.ปฏิบัติการร่วมกวาดล้าง สวนสแกมเขตพนันหลอกลวง และดำเนินการอย่างครบวงจร

2.จัดปฏิบัติการร่วม เพื่อล้อมปราบเขต/นิคมที่เป็นฐานพนันออนไลน์และศูนย์สแกม

3.จับกุมผู้ต้องสงสัยร่วมกัน ประสานการสอบสวน-เก็บพยานหลักฐานในคดีเดียวกัน และพร้อมแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานระหว่างกัน ส่งมอบพยานหลักฐานทางคดีอย่างเป็นระบบ

4. ส่งตัวผู้ต้องหากลับประเทศที่ต้องการตัว แบบครบถ้วน เพื่อมิให้เกิดอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำผิดในต่างประเทศ

5. อายัด-ยึด-ติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดี เพื่อนำส่งคืนผู้เสียหายหรือรัฐที่เกี่ยวข้อง

6. จัดตั้งกลไกประชุมอย่างเป็นทางการ 6 ฝ่าย ทั้งระดับรัฐมนตรีและระดับกรม/สำนักงาน

7. จัดตั้ง กลไกระดับรัฐมนตรี 6 ฝ่าย ว่าด้วยการร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์

8.จัดประชุมประจำปีโดยหมุนเวียนเจ้าภาพทั้ง 6 ประเทศ เพื่อรายงานความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรค และร่วมกันกำหนดแผนปฏิบัติการระยะต่อไป

9. ภายใต้กลไกระดับรัฐมนตรี จะมีการประชุมระดับกรม/สำนักงานเป็นประจำ ทำหน้าที่แปลงมติระดับนโยบายให้เป็นการปฏิบัติจริงและติดตามผลอย่างใกล้ชิด

10. พัฒนาระบบประสานงานคดี–ข่าวกรองข้ามแดนร่วมกัน

11. จัดทำและปรับปรุงช่องทางแลกเปลี่ยนข่าวกรองเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Call Center เว็บไซต์/แอป ตัวการสำคัญ บัญชีม้า และสกุลเงินดิจิทัล

12. กำหนดมาตรฐานร่วมด้านการสอบสวนดิจิทัล

13. สนับสนุนการติดตามเส้นทางเงินและข้อมูล เพื่อเชื่อมคดีข้ามประเทศให้เป็น คดีเดียวกัน

14. ขยายความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคม และบริษัทเทคโนโลยี

15. สนับสนุนปฏิบัติการร่วมระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

16. แลกเปลี่ยนกรณีศึกษาและแนวทางกำกับดูแลแพลตฟอร์ม ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ระบบชำระเงิน และ Crypto Exchange

17.เชิญชวน NGO และบริษัทเทคโนโลยี ร่วมมือด้านการแชร์ข้อมูล-แจ้งเตือน การปิดเว็บไซต์-ปิดหมายเลข-ปิดบัญชี การวิจัยกฎหมาย-แนวทางปฏิบัติ การพัฒนาเทคโนโลยีและฝึกอบรม (AI, Big Data, OSINT, Blockchain Analytics ฯลฯ) และจัดทำแคมเปญรณรงค์ป้องกันเหยื่อแบบหลายภาษา ข้ามพรมแดน

18. ยืนยันกรอบยุทธศาสตร์ร่วมภายใต้ความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC) และหลักนิติธรรม

19. ทุกประเทศจะใช้กฎหมายภายในของตนอย่างเต็มที่ในการปราบปรามศูนย์สแกมในเขตแดนตนเอง และ ไม่ปล่อยให้มี “Safe Haven” ของแก๊งสแกมเมอร์ในภูมิภาค

20. ยึดกรอบ Global Security Initiative, Global Governance Initiative และ MLC เป็นทิศทางร่วมด้านความมั่นคง

21. เน้นหลักความโปร่งใส ยึดหลักนิติธรรม และผลประโยชน์ร่วมกันเป็นฐานของทุกโครงการความร่วมมือ

ทั้งนี้ ในที่ประชุม พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล เสนอข้อคิดเห็นเชิงนโยบาย และข้อเสนอเชิงปฏิบัติการ ยืนยันว่าไทยไม่มีฐานคอลเซ็นเตอร์ หากได้รับแจ้งข่าวว่ามีการลักลอบกระทำผิดที่ใด ทีมงานประสานงานของไทยจะเข้าตรวจค้นจับกุมและรายงานผลให้ประเทศที่แจ้งมาทุกกรณี

นอกจากนี้ยังได้กล่าวอีกว่า ปัญหา สแกมเซ็นเตอร์ ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมิใช่เพียงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แต่เป็น เครือข่ายอาชญากรรมข้ามพรมแดน ที่ทำร้ายประชาชนทุกประเทศ พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยเป็นทั้งประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบของตนเอง จะดำเนินการอย่างจริงจังและรวดรวดเร็ว โดยให้ทุกประเทศเทศสามารถติดตามตรวจสอบได้ และประเทศไทยก็คาดหวังว่าทุกประเทศจะปฏิบัติต่างตอบแทนเช่นเดียวกัน

ซึ่งจากผลการสืบสวนเชิงลึกของศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (Anti-Cyber Scam Center: ACSC) ที่เป็นการบูรณาการข้อมูลจากธนาคาร ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และหน่วยข่าวกรองทางเทคนิค พบว่าเส้นทางการเงินจากบัญชีม้า ส่วนใหญ่ถูกโอนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ที่อยู่ IP และสัญญาณเทคนิคจำนวนมากชี้ไปยังพื้นที่นอกประเทศไทย โดยส่วนใหญ่พบว่าศูนย์สแกมจำนวนมากตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนและเขตเศรษฐกิจของบางประเทศในภูมิภาค ซึ่งไทยได้ส่งมอบข้อมูลดังกล่าวให้ประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการแล้ว จึงขอความร่วมมือกับประเทศที่เกี่ยวข้องดำเนินการแบบตรงไปตรงมาเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

พล.ต.ท.จิรภพ ยังย้ำว่า “การปราบสแกมเมอร์ต้องปราบที่ต้นตอ-ไม่ให้ใครเป็นที่พักพิงของแก๊งสแกม ซึ่งสำหรับประเทศที่มีฐานปฏิบัติการในดินแดนตนเองต้องรับผิดชอบในการดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจัง เพราะหากปล่อยให้ศูนย์สแกมดำรงอยู่ คือการ “ให้ที่พักพิงแก่อาชญากร” ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรมและความเป็นมิตรที่แท้จริงระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังย้ำว่า ประเทศไทยจะไม่ยอมให้สแกมเซ็นเตอร์มีที่ยืนในประเทศ ทุกเบาะแสที่ได้รับจะถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยไม่ละเว้นผู้ใด อาชญากรรมไม่มีพรมแดน ดังนั้น การปราบปรามก็ต้องไม่มีพรมแดนเช่นกัน อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่าตำรวจและผู้บังคับใช้กฎหมายทุกประเทศ ล้วนมีความต้องการช่วยเหลือประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างจริงใจ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นพลเมืองของประเทศใดก็ตาม”

พร้อมกันนี้ พล.ต.ท.จิรภพ ยังได้เสนอให้จัดตั้งทีมปฏิบัติการร่วม ทีมเฉพาะกิจระหว่างประเทศ เพื่อเข้าปฏิบัติการทลายฐานสแกมเซ็นเตอร์ในพื้นที่จริง โดยใช้กลไกระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ของ ACSC โดยตั้งเป้าตอบสนองต่อเบาะแสสำคัญภายใน 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังเสนอการสร้างกลไกความโปร่งใสและความรับผิดชอบร่วมกัน โดยควรมีการรายงานความคืบหน้าต่อประเทศผู้ได้รับผลกระทบอย่างสม่ำเสมอ และ เสนอให้มีคณะทำงานร่วมทำหน้าที่ตรวจสอบและติดตามผล เพื่อให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่าความร่วมมือเกิดขึ้นจริง

โดยเสนอมาตรการเร่งด่วนระดับภูมิภาค ดังนี้

มาตรการที่ 1 : ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูล Real-time จัดทำฐานข้อมูลกลางของบัญชีม้า หมายเลขโทรศัพท์ และ IP ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม และใช้ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อให้ทุกประเทศสามารถ บล็อกอายัดตรวจสอบ ได้พร้อมกัน

มาตรการที่ 2 : แต่งตั้งผู้ประสานงานไซเบอร์ประจำการ (Cyber Liaison Officer) ให้แต่ละประเทศส่งเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายไปประจำการในประเทศที่เป็นฐานปฏิบัติการสำคัญ ทำหน้าที่เป็น สายตรง เพื่อให้การขอข้อมูลและการปฏิบัติการร่วมเกิดขึ้น ภายในวันเดียว

มาตรการที่ 3 : กำหนดมาตรการร่วมควบคุมโทรคมนาคม เข้มงวดการลงทะเบียนซิมการ์ดด้วยระบบยืนยันตัวตน (รวมถึง Face Recognition) จำกัดจำนวนซิมต่อบุคคล ติดตามซิมต้องสงสัย และหากพบพื้นที่มีการใช้สัญญาณเพื่อหลอกลวงในวงกว้าง ให้ร่วมกันพิจารณาการ ตัดสัญญาณชั่วคราว จนกว่าจะตรวจสอบแล้วเสร็จ

ซึ่งมาตรการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยและกัมพูชา ซึ่งได้ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ในการประชุม GBC เพื่อปราบปรามไซเบอร์สแกมโดยเฉพาะ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอยืนยันว่า จะขับเคลื่อนบทบาทของศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ให้เป็นศูนย์กลางประสานงานระดับภูมิภาคในการปราบปรามสแกมเมอร์ เพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการปฏิบัติการร่วมของ 6 ประเทศเป็นรูปธรรม รวดเร็ว และสามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 106 ครั้ง

You May Also Like

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

แสดง
ซ่อน