รมว.ยุติธรรม ตอบกระทู้ สว. ย้ำ รัฐบาลเอาจริง! เดินหน้าปราบโกงทุกระดับ ยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การทุจริต พร้อมเพิ่มความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ

มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 41 ครั้ง

เมื่อวันที่ 27 ต.ค.68 เวลา 09.50 น. ที่รัฐสภา พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (รมว.ยธ.) ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี เพื่อตอบกระทู้ถามต่อที่ประชุมวุฒิสภา เรื่องการยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โดยระบุว่า รัฐบาลมีนโยบานในการประกาศเจตจำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต เพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยให้สูงขึ้นและเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศในการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเห็นได้จากการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดยการนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 โดยรัฐบาลมุ่งเน้นการยึดหลักการบริหารราชการแผ่นดินและนโยบายสำคัญของรัฐบาล 3 ประการคือ 1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2) ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ 3) ยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการบริหารราชการแผ่นดินบนพื้นฐานของธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน

ดังนั้น รัฐบาลจึงได้กำหนดนโยบายสำคัญที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 4 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง ด้านสังคม ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านการบริหารภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งมีหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการประกาศเจตจำนงในการต่อต้านการทุจริตอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยให้สูงขึ้นและเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศในการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้ประสานงานกับ สำนักงาน ป.ป.ท. ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนการยกระดับค่าคะแนนดัชนี CPI ให้เกิดการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสร้างการรับรู้ในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566- 2570) โดยมีเป้าหมายให้การดำเนินการของทุกภาคส่วน ส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาการทุจริตของประเทศ และส่งผลให้ค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยสูงขึ้น

พล.ต.ท.รุทธพล กล่าวอีกว่า รัฐบาลยังมีมาตรการทางกฎหมายที่เด็ดขาดทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมถึงลงโทษผู้กระทำการทุจริตหรือไม่ อย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้นักลงทุนต่างประเทศต้องเผชิญกับการเรียกรับเงินและจ่ายสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ โดยรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะกำหนดมาตรการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดในการป้องกันปราบปรามการทุจริต และประฤติมิชอบ รวมถึงลงโทษผู้กระทำผิด เพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้นักลงทุนต่างประเทศต้องเผชิญกับการเรียกรับเงินและจ่ายสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐโดยเน้นย้ำการดำเนินการของเจ้าพนักงานของรัฐที่กระทำความผิด และเร่งรัดการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายล่าช้า กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคลดขั้นตอนวิธีการปฏิบัติของภาครัฐให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และลดภาระที่ไม่จำเป็นแก่ภาคธุรกิจหรือนักลงทุนชาวต่างชาติ

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนการนำนโยบายดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ รัฐบาลจึงได้ประสานงานกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) ในฐานะกลไกของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มีหน้าที่และอำนาจในการดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่และการประพฤติมิชอบ โดยการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ท. พบว่ามีหลายกรณีที่ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบทางตรง เช่น การถูกเรียกรับผลประโยชน์เพื่อให้ได้สิทธิหรือใบอนุญาต ขณะเดียวกันก็มีหลายองค์กรธุรกิจที่ให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสและร่วมมือสร้างมาตรการธรรมาภิบาล สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าภาคเอกชนไม่ได้เป็นเพียงผู้เสียหาย แต่ยังสามารถเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการผลักดันสังคมโปร่งใส ซึ่งอาจเรียกได้ว่าความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการทุจริตมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตัวอย่างคดี กรณีเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. เข้าจับกุมเจ้าพนักงานที่ดิน จ.ระยอง สาขาบ้านค่าย เรียกรับเงินค่าอำนวยความสะดวกในการทำรังวัดและทำใบขออนุญาตจัดสรรที่ดิน จำนวน 54 ไร่ จากเจ้าของหมู่บ้านจัดสรรที่เข้ามาขอแบ่งแยกโฉนดที่ดินเพื่อทำโครงการหมู่บ้านจัดสรร นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ได้มีการบูรณาการในการจับกุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรณีวัดพระบาทน้ำพุ วัดไร่ขิง เป็นต้น

ส่วนแนวทางในการเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศ โดยเดินทางไปพบนักลงทุนในประเทศต่าง ๆ (Roadshow) และนำเสนอเจตจำนงในการต่อต้านการทุจริตนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า รัฐบาลสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ในความพยายามผลักดันให้ประเทศไทยสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) ซึ่งปัจจุบันได้มีการดำเนินการสำคัญคือ การได้รับมอบแผนผังเส้นทางสู่การเป็นสมาชิก (Accession Roadmap) จาก OECD เมื่อปลายปี 2567 ซึ่งแสดงถึงความพร้อมและเป้าหมายที่ชัดเจนของไทยในการปฏิรูปโครงสร้างประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน การเปิดการค้าการลงทุน การสร้างธรรมาภิบาลภาครัฐ การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ตลอดจนความซื่อสัตย์สุจริตและความมุ่งมั่นในการต่อต้านการทุจริต

นอกจากนี้รัฐบาลมีแนวทางในการเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศ ด้วยการดูแลและแก้ไขปัญหาให้แก่นักลงทุนต่างประเทศที่ประสบปัญหาการทุจริตในประเทศไทย โดยดำเนินการผ่าน ศูนย์ขับเคลื่อนการบริการภาครัฐสำหรับนักลงทุนและชาวต่างชาติ ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ท. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนกลไกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางงานวิชาการด้านข้อมูลการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนและชาวต่างชาติในการประกอบธุรกิจ และประสานงานด้านการอำนวยความสะดวกในการลงทุนระหว่างนักลงทุนและชาวต่างชาติและหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยรวมทั้งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานภาครัฐ โดยศูนย์ขับเคลื่อนการบริการภาครัฐสำหรับนักลงทุนและชาวต่างชาติมีกลไกการขับเคลื่อนการบริการภาครัฐสำหรับนักลงทุนและชาวต่างชาติ

ที่ผ่านมาสถิติเรื่องร้องเรียนจากนักลงทุนและชาวต่างที่ได้รับความเดือดร้อน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 – 2568 ซึ่ง สำนักงาน ป.ป.ท. ได้รับและตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐ รวมแล้วทั้งสิ้น 51 เรื่อง ตรวจสอบเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว โดยส่งเรื่องต่อไปที่สำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 22 เรื่อง และยุติเรื่อง จำนวน 29 เรื่อง นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ท. โดย สำนักงาน ปปท. เขต 2 ยังได้ขับเคลื่อนการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตหรือความไม่สะดวกในการบริการภาครัฐของผู้ประกอบการและนักลงทุนโดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นลำดับแรกด้วยการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกการให้บริการภาครัฐ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อการยกระดับการให้บริการภาครัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาโดยเฉพาะการขับเคลื่อนการให้บริการภาครัฐให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ อันจะส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ดึงดูดนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้ามาลงทุนในพื้นที่ส่งเสริมการลงทุน EEC เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการยกระดับค่าคะแนนดัชนี CPI ในที่สุด

มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 41 ครั้ง

You May Also Like

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

แสดง
ซ่อน