มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 74 ครั้ง
ประธานศาลฎีกา คนที่ 50 แถลงสรุปผลงาน สร้างกลไกคุ้มครองสิทธิประกัน ยกระดับคุณภาพคำพิพากษา เสริมสร้างเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมต่อยอดความร่วมมือศาลต่างประเทศ

เมื่อวันที่ 16 ก.ย.68 เวลา 13.30 น. ที่โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ นางชนากานต์ ธีรเวชพลกุล ประธานศาลฎีกา แถลงผลการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายประธานศาลฎีกา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยเมื่อเข้ารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2567 นางชนากานต์ ประธานศาลฎีกาคนที่ 50 แถลงมอบนโยบายแก่ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมทั่วประเทศ ร่วมปฏิบัติภารกิจ “สานต่อ (Carry Forward) เสริมสร้าง (Progress Toward) ส่งต่ออย่างยั่งยืน (Sustainably Pass Onward)” ภายใต้หลักคิด “ยึดมั่นในหน้าที่ ตามวิถีตุลาการ”

โดยภารกิจ “สานต่อ” มุ่งเน้นต่อยอดการดำเนินงานของศาลให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งการอำนวยความยุติธรรมประธานศาลฎีกามีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาระบบงานตรวจสอบการคุมขังและงานกำกับดูแลการปล่อยตัว เพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบงานพิจารณาคำร้องขอออกหมายขังและคำร้องขอปล่อยชั่วคราวให้สอดคล้องกับกฎหมาย มีมาตรฐานเดียวกัน ลดการเรียกหลักประกัน เน้นให้มีระบบงานรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่ถูกฟ้องและข้อมูลของผู้ต้องหา/จำเลย เพื่อให้ผู้พิพากษามีดุลพินิจสั่งคำร้องอย่างเหมาะสมได้สัดส่วนเป็นรายๆ ไป ซึ่งนำร่องในศาลอาญาพื้นที่กรุงเทพฯ และศาลในสังกัดอธิบดีผู้พิพากษาภาค 1-9 ก่อนจะขยายผลไปยังศาลยุติธรรมทั่วประเทศต่อไป
นอกจากนี้เรื่องการปล่อยชั่วคราวยังมีการขยายผลจากที่เคยมีข้อตกลงความร่วมมือกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ให้แต่งตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการชุมชน เป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวได้ ล่าสุดสำนักงานศาลยุติธรรมประสานความร่วมมือกับกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ให้แต่งตั้งอาสาสมัครคุมประพฤติร่วมปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวด้วย ควบคู่ไปกับการสร้างกลไกกำกับดูแลที่เข้มแข็งครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ และการคุ้มครองสิทธิประชาชนยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูและคุ้มครองสิทธิของประชาชนเพื่อความมั่นคงของสังคม ที่มุ่งพัฒนาการบำบัดฟื้นฟูผู้ต้องหา/จำเลยในคดียาเสพติดและคดีอาญาที่ไม่ร้ายแรง ร่วมกับการพัฒนาระบบให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในศาลให้มีมาตรฐานเดียวกัน โดยการเปิดคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในคดีอาญา มีศาลนำร่อง 53 ศาล
ส่วนการดำเนินงานเกี่ยวกับคดียาเสพติดนอกเหนือจากการส่งตัวเข้ารับการบำบัดรักษาการติดยาเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติดแล้ว ยังพัฒนาคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมโดยบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ในพื้นที่ของแต่ละศาล และการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ต่อยอดระบบการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมและการแนะนำแนวทางดำเนินชีวิตให้แก่ผู้กระทำความผิด เพื่อลดการกระทำผิดซ้ำตามแนวคิดการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สร้างสังคมที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน ขณะที่เรื่องของการระงับข้อพิพาททางเลือก ได้พัฒนากระบวนการไกล่เกลี่ย ในทุกชั้นศาลให้มีประสิทธิภาพตามความเหมาะสมของแต่ละประเภทคดี รวมทั้งยกระดับวิธีการไกล่เกลี่ยในชั้นอนุญาโตตุลาการของศาลยุติธรรม โดยเปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท สถาบันอนุญาโตตุลาการ (TAI-MC)
ขณะที่การสานต่อด้านการประชาสัมพันธ์เชิงรุกแก่เยาวชนและประชาชนเพื่อให้เข้าใจ เข้าถึงกระบวนการทางศาลและรับรู้สิทธิของตนตามกฎหมายนั้น ปี 2568 เป็นครั้งแรกที่ศาลฎีกา ได้เปิดศาลให้เด็กและเยาวชนเข้าชมสถานที่สำคัญ เช่น ห้องทำงานประธานศาลฎีกา ห้องพิจารณาคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในงานกิจกรรมวันเด็กเพื่อสร้างแรงบันดาลใจคนรุ่นใหม่ เสริมสร้างอนาคตสังคมไทย เช่นเดียวกับโครงการค่ายต้นกล้าตุลาการ รุ่นที่ 13 ในปี 2568 เป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเข้าร่วมกิจกรรมวันเปิดโครงการที่อาคารศาลฎีการ่วมกับเยาวชนที่ได้รับคัดเลือกเข้าอบรมซึ่งเพิ่มจำนวนจากกว่า 120 คนเป็น 150 คน และการดำเนินโครงการต่อเนื่องของเยาวชนไทยหัวใจเดียวกัน (Belia Thai Sejiwa Sehati) มาจนถึงรุ่นที่ 9 ที่เปิดโอกาสให้เยาวชน 3 จังหวัดชายแดนใต้ร่วมกิจกรรมเสริมสร้างความรู้สิทธิหน้าที่ของเด็กและเยาวชนตามกฎหมาย ตลอดจนความเข้าใจด้านกระบวนการยุติธรรมภายใต้รูปแบบการดูงานศาลฎีกา รัฐสภา และทำเนียบรัฐบาล การเข้าเยี่ยมคาราวะประธานองคมนตรี ประธานศาลฎีกา นายกรัฐมนตรี การรับฟัง การแนะนำเส้นทางสู่การเป็นผู้พิพากษาและวิชาชีพกฎหมายอื่น ๆ ซึ่งระยะเวลากว่า 9 ปี มีเยาวชนร่วมโครงการกว่า 1,000 คน

ด้าน “เสริมสร้าง” ได้พัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เช่น การพัฒนาระบบยื่นคำฟ้องอิเล็กทรอนิกส์สำหรับประชาชน หรือ e-Filing สู่เวอร์ชั่น 4.0 การพัฒนาระบบบริการออนไลน์ศาลยุติธรรม หรือ CIOS ซึ่งเพิ่มบริการยื่นคำคู่ความและเอกสารคดีในคดีความผิดทางพินัย และให้บริการตรวจสอบบุคคลล้มละลายได้ การสร้างแอปพลิเคชั่น Inside COJ เพื่อการสื่อสารประชาสัมพันธ์ภายในองค์กรซึ่งการเข้าระบบมีความปลอดภัยผ่านการพิสูจน์ตัวตนทางดิจิทัล Thai ID ระบบสารสนเทศสำหรับผู้พิพากษา การจัดทำคู่มือการปล่อยชั่วคราวและการกำกับดูแลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์นอกเหนือจาการพิมพ์รูปเล่มเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้พิพากษาใช้พิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมกับพัฒนาทักษะที่จำเป็นในยุคปัจจุบันด้วย เช่น การใช้ AI เทคโนโลยี Cybersecurity ทักษะการสื่อสารและการพูดในที่สาธารณะ Digital Literacy การพัฒนาภาพลักษณ์ของตุลาการ การยกระดับคุณภาพคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยจัดอบรมหลักสูตรการทำคำพิพากษาทั้งภาคทฤษฎีพร้อมปฏิบัติเพื่อพัฒนาการอำนวยความยุติธรรมตามภารกิจและหน้าที่ โดยให้ความสำคัญในการเพิ่มพูนความรู้ เทคนิคและวิธีการยกร่างคำพิพากษา การใช้และตีความกฎหมายให้เกิดความเป็นธรรมในแต่ละคดีอย่างเหมาะสม อีกทั้งยังปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษาให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น ให้ผู้ช่วยผู้พิพากษามีอาจารย์ที่สามารถให้คำแนะนำได้อย่างใกล้ชิด ขณะที่การเสริมสร้างบุคลากรให้มีการจัดทำร่างหลักสูตรการพัฒนาจิตใจ คุณธรรม และจริยธรรมสำหรับหลักสูตรอบรมแก่ข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรมและข้าราชการศาลยุติธรรม โอกาสนี้ประธานศาลฎีกายังมีดำริให้ทบทวนปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการสอบคัดเลือกและทดสอบความรู้เพื่อบรรจุเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาพร้อมทั้งพัฒนาระบบการสอบคัดเลือกเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เสมอภาค เท่าเทียม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.)
ด้านการ “ส่งต่ออย่างยั่งยืน” มุ่งสร้างความต่อเนื่องของนโยบายและภารกิจต่าง ๆ ของศาลยุติธรรมโดยรักษามาตรฐานการพิจารณาพิพากษาคดีและการให้บริการปะชาชน ซึ่งประธานศาลฎีกาแต่งตั้งคณะทำงานเสริมสร้างความเข้าใจในการครองตนและครองงาน เพื่อพิจารณาแนวทางการสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้แก่ประชาชน ซึ่งมีการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ Infographic ชื่อ “ศาลจังหวัดสมมุติบุรี” เผยแพร่ในแอปพลิเคชั่น Inside COJ และเว็บไซต์สำนักประธานศาลฎีกา ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กับจัดทำหนังสือ “วิถีตุลาการ” ให้แก่ผู้พิพากษาทั่วประเทศทั้งรูปแบบ e-Book และรูปเล่ม และการให้บริการประชาชนได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมบริเวณศาล เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้มาติดต่อราชการและผู้สูงอายุ การจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับผู้พิการ เช่น ห้องน้ำ ลิฟต์ ทางลาดต่าง ๆ โดยมีการดำเนินการแล้ว 5 แห่ง ได้แก่ ศาลจังหวัดเลย ศาลจังหวัดศรีสะเกษ ศาลแรงงานภาค 8 (ระยะที่ 1) ศาลแขวงพระนครเหนือ สถาบันพัฒนาข้าราชการ ฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ระยะที่ 1) และสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ปากช่อง รวมทั้งยังมีการศึกษาการออกแบบ “ห้องพิจารณาคดีต้นแบบที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ด้วยแนวคิดที่คำนึงถึงข้อจำกัดของกลุ่มเปราะบางทั้งผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้มีความหลากหลายทางเพศด้วย

ทั้งนี้ นอกจากการขับเคลื่อนโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้นโยบาย “สานต่อ เสริมสร้าง ส่งต่ออย่างยั่งยืน” โดยยึดหลัก “ยึดมั่นในหน้าที่ ตามวิถีตุลาการ” นางชนากานต์ ประธานศาลฎีกา ยังปฏิบัติภารกิจด้านความร่วมมือทางการศาลระหว่างประเทศ ซึ่งได้หารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในภาพรวม มุมมองด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนงานด้านวิชาการในโอกาสที่ได้พบบุคคลสำคัญระดับสูงในสายวิชาชีพกฎหมายทั้งภูมิภาคอาเซียน เอเชีย ยุโรป และประธานศาลฎีกาในฐานะประธานคณะกรรมการแห่งชาติสมาคมกฎหมายอาเซียนประจำประเทศไทยและประธานศาลสูงสุดแห่งประเทศสมาชิกอาเซียนยังได้เข้าร่วมประชุมคณะต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือก้าวหน้าระหว่างนักกฎหมายด้วย โดยช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดสัปดาห์การประชุมคณะทำงานสภาประธานศาลสูงสุดอาเซียนครั้งแรก (ปฐมฤกษ์) ซึ่งมีการระดมความเห็นขยายขอบเขตความร่วมมือทางการศาลไปยังประเทศนอกภูมิภาค เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และการขยายการแลกเปลี่ยนความรู้ทางการศาลเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ของศาลยุติธรรมในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนการแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศระหว่างผู้พิพากษาอาเซียนในการพิจารณาคดีว่าด้วยกฎหมายล้มละลายและกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้นางชนากานต์ ประธานศาลฎีกาหญิงคนที่ 4 ของประเทศไทย ยังได้รับเกียรติจากสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ กล่าวถึงบทบาทของสตรีในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยในพิธีเปิดโครงการสัมมนาหัวข้อ “กระแสความเปลี่ยนแปลง : ผู้พิพากษาสตรีในภูมิภาคเอเชีย” ด้วย
โดยภารกิจหน้าที่ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มุ่งเน้นการสร้างระบบอำนวยความยุติธรรมเคียงข้างประชาชนอย่างยั่งยืนตามวิถีตุลาการ และเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในอนาคต ที่ต้องยึดมั่นให้ทุกคน ทุกเพศ ทุกสถานะ เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค เท่าเทียม และเป็นธรรม
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 74 ครั้ง