มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 124 ครั้ง
GULF นำข้อมูล SROI ขยายผลต่อยอดโครงการ Green Energy Green Network for THAIs พร้อมปั้น “ดอยเวียงโมเดล” ชูพลังงานสะอาดขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน
บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “GULF” บริษัทชั้นนำด้านพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน โทรคมนาคม และดิจิทัล เดินหน้าปั้นโมเดลพลังงานสะอาดขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน “บ้านดอยเวียง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่” ส่งเสริมอาชีพปลูกกาแฟใต้ป่า สนับสนุนการก่อสร้างโรงเรือนและจัดซื้อเครื่องสีกาแฟเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกร มุ่งต่อยอดองค์ความรู้สู่การสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ชุมชน พร้อมนำข้อมูลการประเมินผลตอบแทนทางสังคม (Social Return on Investment – SROI) ขยายผลต่อยอดภารกิจพลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย Green Energy Green Network for THAIs ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนในพื้นที่ห่างไกลที่ยั่งยืน
นายธนญ ตันติสุนทร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการผนึกกำลังร่วมกันระหว่าง GULF กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ “เอไอเอส” และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ “สวพส.” ดำเนินโครงการ Green Energy Green Network for THAIs พลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทยในปี 2567 ที่ผ่านมา ทำให้สามารถติดตั้งและส่งมอบพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อเชื่อมต่อระบบเครือข่ายสัญญาณดิจิทัลไปแล้วกว่า 30 กิโลวัตต์ใน 6 ชุมชนของประเทศไทย ช่วยให้ผู้คนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 4,000 คน เข้าถึงบริการโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ระบบสาธารณสุข และที่สำคัญยังเกิดการต่อยอดพัฒนาด้านอาชีพ นำไปสู่การสร้างงาน รายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนที่ยั่งยืน
และจากการวิจัยการประเมินผลตอบแทนทางสังคม โดยใช้ข้อมูลของ 2 หมู่บ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องเมื่อปีที่ผ่านมา คือ บ้านดอกไม้สด และบ้านมอโก้โพคี อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ที่ได้รับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่ศูนย์สุขภาพชุมชน โรงเรือนสีกาแฟ และสถานีฐานสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์ รวมถึงติดตั้งระบบกรองน้ำสะอาด อีกทั้งยังได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนองค์ความรู้การแปรรูปผลิตภัณฑ์กาแฟ ทำให้ชาวบ้านมีรายได้จากขายผลผลิตจากกาแฟกว่า 30,000 – 170,000 บาทต่อปีต่อครอบครัว นำไปสู่การสร้างแบรนด์ “กาแฟดอยมอโก้” และได้มีการขายผ่านทางออนไลน์ ที่สำคัญยังทำให้เด็ก ๆ นักเรียนเข้าถึงโอกาสทางศึกษา และการเรียนรู้ใหม่ ๆ ผ่านสื่อการเรียนออนไลน์ ตลอดจนทำให้ผู้คนเข้าถึงระบบสาธารณสุขขั้นพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลจากการเข้าไปพัฒนาโครงการใน 2 หมู่บ้านพบว่า สามารถสร้างผลตอบแทนทางสังคมได้ถึง 2.37 เท่า ต่อการลงทุนใน 1 บาท ซึ่งถือว่ามีความคุ้มค่า และสามารถขยายผลได้
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลงานวิจัย SROI ที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าและมูลค่าที่สามารถส่งคืนสู่ชุมชน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม GULF พร้อมที่จะนำไปต่อยอดและขยายผลการดำเนินงาน และมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเดินหน้าสานต่อโครงการเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในปี 2568 GULF ได้ดำเนินโครงการ Green Energy Green Network for THAIs ไปแล้ว 3 พื้นที่ประกอบด้วย 1) บ้านโป่งพัฒนา อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ 2) บ้านสะเนพ่อง อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี และ 3) บ้านดอยเวียง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ซึ่งพื้นที่นี้ GULF ได้ร่วมกับไทยคม และเอไอเอส ในการติดตั้งระบบโซลาร์เพื่อส่งมอบพลังงานไฟฟ้าให้แก่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวงบ้านดอยเวียง เพื่อพัฒนาการศึกษาในรูปแบบออนไลน์เชื่อมต่อกับระบบดาวเทียม และระบบสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์ ที่สำคัญ GULF ได้สนับสนุนการก่อสร้างโรงเรือนสำหรับสีกาแฟ และติดตั้งระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมจัดซื้อเครื่องสีกาแฟมอบให้แก่ชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถแปรรูปกาแฟ และต่อยอดไปสู่การสร้างแบรนด์กาแฟของชุมชน ซึ่งเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคง
นายยูเอละ จะอืด กรรมการหมู่บ้าน และตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟบ้านดอยเวียง กล่าวว่า ชาวบ้านบ้านดอยเวียงส่วนใหญ่กว่า 70-80% ปลูกกาแฟเป็นอาชีพหลัก เพราะด้วยสภาพของหมู่บ้านตั้งอยู่บนพื้นที่ความสูงราว 1,400 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งถือเป็นความสูงที่ทำให้กาแฟมีรสชาติดี ขณะเดียวกันกาแฟที่นี่ยังปลูกแบบใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ เป็นวิถีเกื้อกูลกันระหว่างคนกับป่า โดยการปลูกกาแฟและดูแลผืนป่าต้นน้ำไปพร้อมกัน
ที่ผ่านมาชาวบ้านส่วนใหญ่จะขายกาแฟที่เป็นผลเชอรี่โดยไม่มีการแปรรูปใด ๆ ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 25 – 30 บาท ต่อกิโลกรัม โดยราคาขายจะขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลาง รวมถึงราคาตลาดของปีนั้น ๆ บางปีราคาถูก บางปีราคาแพง และแม้ว่ากาแฟของเราจะมีคุณภาพดี แต่ก็ไม่สามารถกำหนดราคาขายได้เอง ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ที่ไม่แน่นอน แต่เมื่อ GULF ได้เข้าติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่สามารถผลิตไฟฟ้า พร้อมทั้งสนับสนุนโรงเรือนและเครื่องสีกาแฟ ถือเป็นแสงสว่าง เป็นความหวังของชาวบ้านที่จะสามารถต่อยอดและแปรรูปผลผลิตกาแฟได้ดียิ่งขึ้น
เพราะเมื่อชุมชนมีโรงเรือน มีเครื่องสีกาแฟที่ใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ ทำให้เราไม่ต้องขายกาแฟที่เป็นผลเชอรี่ สามารถแปรรูปเป็นกาแฟกะลาที่มีมูลค่ามากขึ้น ราคาดีขึ้น ซึ่งกาแฟกะลาจะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 180 บาท ตรงนี้ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ในอนาคตเรายังสามารถต่อยอดและพัฒนาไปสู่แบรนด์กาแฟชุมชนได้อีกด้วย นอกจากนี้เรายังพร้อมที่จะรวมกลุ่มกัน โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งจากขายกาแฟมาดูแลรักษาโรงเรือน เครื่องสีกาแฟ และแผงโซลาร์ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญจากจุดเริ่มต้นในการเข้ามาติดตั้งระบบโซลาร์ ทำให้ชาวบ้านและหน่วยงานท้องถิ่นเล็งเห็นความสำคัญของการร่วมอยู่กับป่ามากขึ้น จึงได้มีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันเพื่อดูแลรักษาป่าให้เติบโตคู่กับชุมชนต่อไป
“ในระยะต่อไป GULF พร้อมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนองค์ความรู้ในการผลิตกาแฟ ตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ยกระดับคุณภาพผลผลิตกาแฟบ้านดอยเวียงไปสู่การสร้างแบรนด์ชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถกำหนดราคาขายที่สูงขึ้น ถือเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในชุมชน ที่สำคัญยังพร้อมที่จะพัฒนาต่อยอดให้หมู่บ้านแห่งนี้เป็นพื้นที่ต้นแบบ “ดอยเวียงโมเดล” ที่ไม่ใช่แค่เพียงเข้ามาติดตั้งและส่งมอบโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และเครือข่ายสัญญาณดิจิทัล ทำให้ผู้คนเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน เพิ่มโอกาสทางการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน และร่วมกันดูรักษาปกป้องผืนป่าอย่างยั่งยืนต่อไป” นายธนญ กล่าวทิ้งท้าย
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 124 ครั้ง