มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 106 ครั้ง
สมาคมผู้สื่อข่าวส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ผนึก สมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย และ เครือข่ายพันธมิตร จัดเสวนาหัวข้อ “พลิกวิกฤตสงครามการค้า สู่โอกาสใหม่ SMEs ไทยเติบโตยั่งยืน” นักวิชาการชี้ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่จากมุ่งรับผลิต (OEM) เป็นการสร้างแบรนด์ตัวเอง ขณะนายกสมาคมการค้าปลีกฯแนะเน้นเพิ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายและหาช่องทางตลาดเพิ่ม
เมื่อวันที่ 30 ก.ค.68 ณ ชั้น 6 ห้องออดิทอเรียม อาคารอีสต์ ทรู ดิจิทัล พาร์ค สมาคมผู้สื่อข่าวส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ร่วมกับ สมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย SME D Bank, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) และ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven จัดเสวนาหัวข้อ “พลิกวิกฤตสงครามการค้า สู่โอกาสใหม่ SMEs ไทยเติบโตยั่งยืน” เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ มุมมอง และแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ท้าทายในปัจจุบัน โดยมี รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษาชั้นแนวหน้าของประเทศไทย, นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย และ นายอนุพงษ์ แสงอรุณทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ SME D Bank ร่วมเสวนา โดยมีผู้สนใจทั้งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นักเรียนนิสิตนักศึกษา และ สื่อมวลชน เข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก
รศ.ดร.สมภพ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ SMEs ในสถานการณ์สงครามการค้า โดยเฉพาะการเตรียมรับมือสินค้าจีนทะลักเข้าไทยใน 6 เดือนหลังของปีนี้ว่า จากนี้สภาพแวดล้อม ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ และสังคมของโลกที่เปลี่ยนไป โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้อัตราเฉลี่ยที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดไว้ที่ระดับ 15-20% ถือเป็นอัตราที่ดีที่สุด ใครสูงกว่านี้จะอยู่ยาก อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะแบกภาระภาษีดังกล่าวไม่ใช่ผู้ซื้อชาวอเมริกัน แต่จะเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับอัตราภาษีไม่เท่ากัน เพราะผู้นำเข้าจะเลือกช้อปปิ้งสินค้าจากประเทศที่มีภาษีต่ำกว่าและราคาสินค้าถูกกว่า ดังนั้น ผู้ประกอบการ SMEs ไทย จะต้องมีกำไรไม่ต่ำกว่า 25-30% ถ้าต่ำกว่านี้จะอยู่ไม่ได้
สำหรับแนวโน้มของโลกต่อจากนี้ มีโอกาสที่ประเทศพัฒนาแล้วจะหันมารวมมือกันมากยิ่งขึ้น และจะหันไปทุนระหว่างกันสูงขึ้น เช่น กลุ่มทุนจากญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ หรือแม้แต่สหภาพยุโรป (อียู) จะเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อทำให้สินค้ามีภาระภาษีเหลือที่ 0% ซึ่งเป็นความได้เปรียบอย่างมาก และในสหรัฐฯเอง ก็จะมุ่งเน้นการทำงานโดยไม่พึ่งพามนุษย์ แต่จะใช้ AI เข้ามาช่วยอย่างมีนัยสำคัญ
รศ. ดร.สมภพ กล่าวว่า ในส่วนของ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย จำเป็นจะต้องหันมาสนใจการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพให้มากขึ้น ทำอย่างไรหากต้องใช้คนทำงานเท่าเดิม ใช้เวลาและเงินทุนเท่าเดิม แต่ได้เนื้องานมากขึ้น นั่นคือ ต้องนำแนวคิดที่ว่า “สมาร์ท” เข้ามาใช้ในการดำเนินงาน เช่น สมาร์ท มาร์เก็ตติ่ง, สมาร์ท โลจิสติกส์ ฯลฯ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการ SMEs ไทย จะต้องเตรียมการเพื่อนำมาช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนในการดำเนินงานโดยเร็ว
ทั้งนี้หากต้องวิเคราะห์ถึงแนวโน้มในระยะสั้น ราว 3-6 เดือน นับจากนี้ เชื่อว่าโลกคงวุ่นวาย หลายส่วนจะเกิดกระบวนการแปรเปลี่ยน โดยเฉพาะการระบายสินค้า หลังจากที่จีนยังเจรจากับสหรัฐฯไม่ลงตัว โอกาสที่สินค้าจีนจะย้ายจากตลาดสหรัฐฯไปยังประเทศอื่น ๆ รวมถึงไทยก็มีสูง ในส่วนของประเทศไทย ปัจจุบันเรานำเข้าสินค้าจากจีนด้วย 2 เหตุผล คือ 1.นำมาใช้เอง และ 2.เอามาเป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก ปัญหาเหล่านี้ถือเป็น “ปัญหาระยะสั้น” ที่จะต้องเร่งแก้ไข แต่ในระยะกลางและยาว แล้วจำเป็นที่ผู้ประกอบการ SMEs ไทย จะต้องเร่งปรับตัวกันใหม่ นอกจากการบริหารต้นทุนแล้ว ยังต้องวางตัวเองให้ล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เนื่องจากรัฐบาลจีนเองจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ โดยเปลี่ยนจากประเทศที่เป็นโรงงานผลิตสินค้าของโลก มาเป็นประเทศที่เพิ่มสัดส่วนของอุตสาหกรรมการบริการให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บริการด้านการท่องเที่ยว, ด้านอาหาร, ละครซีรีส์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ฯลฯ เพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งพาภาคการผลิตเหมือนเดิม ในส่วนของสหรัฐฯได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองมาก่อนหน้านี้ กลายเป็นประเทศที่เน้นภาคบริการและมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการดำเนินงาน ที่สำคัญสหรัฐฯได้กลายเป็น “ตลาดของโลก” (ผู้ซื้อ/นำเข้าสินค้ารายใหญ่) ดังนั้นแม้จะมีประชากรแค่ 1 ใน 4 ของจีน แต่ก็มีอำนาจการต่อรองในเวทีโลกของสหรัฐฯ ยังมีสูงได้มากขนาดนี้ ซึ่งหากเป็นจีนภายหลังการปรับเปลี่ยนตัวเองทั้งระบบแล้ว เชื่อว่าอำนาจการต่อรองในเวทีโลกจะมีสูงมากกว่านี้อย่างแน่นอน
รศ. ดร.สมภพ กล่าวอีกว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยจำเป็นจะต้องเปลี่ยน “มุขใหม่” (แนวคิดและวิธีการดำเนินการใหม่) เปลี่ยนจากที่มุ่งเน้นการรับจากผลิต (OEM) มาเป็นการสร้างแบรนด์ของตัวเอง เนื่องจากการเป็น OEM แม้คนไทยจะรู้ดีว่า เจ้าของสินค้าที่ส่งออกเป็นของกลุ่มทุนต่างชาติ แต่สำหรับรัฐบาลสหรัฐฯ กลับมองเห็นว่า สินค้าที่ส่งออกมาจากประเทศไทย คือสินค้าไทยและจะต้องจัดเก็บภาษีในอัตราสูงสุด และอีกหนึ่ง “มุขใหม่” ที่ผู้ประกอบการ SMEs ไทย จะต้องเร่งดำเนินการ คือการหันไปเน้นธุรกิจในภาคบริการให้มากขึ้น ซึ่งไม่เฉพาะแค่ภาคการท่องเที่ยว แต่ยังรวมถึงงานบริการด้านต่าง ๆ เช่นด้านอาหาร สุขภาพ สปอร์ตคอมเพล็กซ์ และอื่น ๆ ซึ่งหลายส่วน หากนำไปเชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรมได้ จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะไทยเรามีจุดแข็งด้านนี้อยู่แล้ว
ทั้งนี้ “จุดเด่น” ของเอสเอ็มอีโดยทั่วไปคือขนาดที่ไม่ใหญ่ จึงทำให้มีต้นทุนดำเนินการที่ไม่สูง แต่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเข้ากับสถานการณ์ใหม่ โดยหากนำสิ่งนี้ไปเชื่อมโยงกับจีนที่กำลังปรับเปลี่ยนตัวเอง จากเดิมที่เป็น “โรงงานของโลก” มาเป็น “ตลาดของโลก” ได้ โดยที่ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ได้หันไปมุ่งเน้นการเชื่อมโยงงานภาคบริการ เข้าหาภาคการผลิต และเชื่อมโยงเข้าหาจีน ก็น่าจะเป็นโอกาสและความอยู่รอดของเอสเอ็มอีไทยในอนาคต
“หากพูดถึงเรื่องความคล่องตัวและความทันสมัยแล้ว ยังไงประเทศไทยก็ต้องพึ่งพาในเรื่องอาหาร แต่จะทำอย่างไร จึงจะเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้ ซึ่งการจะเพิ่มมูลค่าได้จะต้องมุ่งเน้นแนวคิด 7 ประการในการสร้างอาหารเพื่อการส่งออก นั่นคือ 1.มีความปลอดภัย 2.เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ 3.มีรสชาติดี 4.พร้อมทานหรือพร้อมปรุง 5.มีแพ็กเกจจิ้งที่สวยงาม สร้างความพึงพอใจ 6.มีความรับผิดชอบต่อสังคม และ 7.เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดคือ 7 ตัวแปร ที่เราสามารถจะสร้างความแตกต่างเพื่อตอบสนองต่อเซ็กเตอร์อื่น ๆ” ดร.สมภพ กล่าวและย้ำว่า ขอให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ใช้ประโยชน์จากความเล็ก แต่จะต้องพัฒนาบริการ เพื่อให้เชื่อมโยงกับภาคการผลิต พร้อมกับสร้างดีมานด์ (ความต้องการ) ใหม่ๆรวมถึงสามารถจะเชื่อมโยงตลาดในจีน ที่นับจากนี้เชื่อว่คนจีนก็จะมี “ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ” ทั้งอยากให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ใช้ประโยชน์จากคำว่า “จิ๋วแต่แจ๋ว” ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ขณะที่ นายสุวิทย์ กล่าวถึง “ทางรอดของ SMEs ไทยในวิกฤตสงครามการค้า” ว่าในเวลานี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยต้องเจอกับแรงกระแทกที่รุนแรงไม่ต่างจากสงครามไทยกับกัมพูชา ที่โดนระเบิดระเนระนาดไปตาม ๆ กัน ซึ่งแรงกระแทกนี้ ไม่เฉพาะสินค้าที่ส่งไปขายสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าจีนที่ส่งออกไม่ได้ ก็จะทะลักเข้ามาในประเทศไทย และมีราคาถูกมาก ๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มอีไทยโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบมาจากการที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง ทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์เอสเอ็มอีลดลงด้วย
“เราถือเป็นผู้ส่งออกถุงมือยางรายใหญ่ไปสหรัฐฯ นอกเหนือจากนั้น ผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร สินค้าเกษตรแปรรูป รวมถึงสินค้าตัวอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากมาตรการภาษี เหล่านี้ ล้วนมีโอกาสจะส่งไปยังอเมริกาได้ลำบาก และอาจเจอกับสภาวะการขาดทุน ยังจะต้องเผชิญกับสินค้าจากประเทศจีน ที่มีราคาถูกมาก ๆ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อเอสเอ็มอีไทยเยอะมาก” นายสุวิทย์ กล่าว
สำหรับแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีนั้น นายกสมาคมการค้าปลีกฯ ระบุว่า เราจะต้องร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ สมาคมในเครือข่าย โดยจะต้องเข้ามาช่วยเหลือ ให้คำแนะนำเอสเอ็มอีว่าควรจะต้องทำอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอดได้ ซึ่งข้อแนะนำในวันนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยก็คงจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้แล้ว จะต้องเพิ่มช่องทางการตลาด โดยเฉพาะในกลุ่ม มาร์เก็ตเพลส ให้มากขึ้น และจะต้องมองเรื่องตลาดให้ทะลุปรุโปร่ง
“เมื่อก่อนเป็นโรงงาน หรือทำอยู่กับบ้าน แล้วก็มีคนมาซื้อ สมัยนี้ นั่งอยู่ที่บ้านหรือโรงงานเฉย ๆ ไม่ได้แล้ว เราต้องออกไปหาลูกค้าข้างนอก มีการเพิ่มช่องทางการขายใหม่ ๆ ผมคิดว่าเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ขายออนไลน์อยู่แล้ว ต่อไปต้องขายผ่านร้านที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งร้านประจำ คอนวีเนียนสโตร์ และการใช้อินฟลูเอ็นเซอร์แนะนำร้าน ก็เป็นกลยุทธ์การขายที่สำคัญ” นายสุวิทย์ ให้มุมมอง พร้อมยกตัวอย่าง ร้านป้าแดงขายส้มตำหมูย่าง ที่ตลาดสามย่าน หลังมีอินฟลูเอนเซอรายหนึ่งมาแนะนำ ทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้น จนในที่สุดต้องขยายเพิ่มอีกหลายสาขา
ขณะที่ นายอนุพงษ์ กล่าวว่า SME D Bank ได้รับโจทย์ใหญ่จากรัฐบาลเพื่อให้เข้ามาดูแลผู้ประกอบการ SMEs ไทยทั้งนี้ ภารกิจของธนาคารฯ นอกจากการช่วยเหลือทางด้านการเงิน (ไฟแนนเชียล) ทั้งทางด้าน การให้สินเชื่อ การรับฝาก และทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับภาคเอกชน เพื่อเตรียมการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ธนาคารฯยังมีบทบาทที่สำคัญ นั่นคือภารกิจที่เกี่ยวกับ “นอนไฟแนนเชียล” ซึ่งหากพิจารณาจาก ชื่อเต็มของธนาคารฯ (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) จะมีคำว่า “พัฒนา” นั่นก็หมายถึงการให้การส่งเสริมเพื่อการพัฒนาแก่ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาในรูปแบบของการทำ e-Learning (การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์/ออนไลน์) หรือการ Skill Up (ยกระดับทักษะ) รวมไปถึงการทำ Business Matching (จับคู่ธุรกิจ) เป็นต้น
สำหรับ “ภารกิจหลัก” ของธนาคารฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ด้านการเงิน ซึ่งสัมพันธ์กับการดำเนินงานของ ผู้ประกอบการ SMEs ไทยโดยตรง โดยเฉพาะด้านสินเชื่อ ได้จัดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.สินเชื่อที่ธนาคารฯดำเนินการเอง อีกภารกิจเป็น สินเชื่อที่มาจากนโยบายของรัฐบาล (สินเชื่อพิเศษจากภาครัฐเพื่อเอสเอ็มอีไทย) ซึ่งได้รัฐบาลได้ตั้งวงเงินให้กับธนาคารฯสูงถึง 30,000 ล้านบาท เพื่อมาช่วยผู้ประกอบการ SMEs ไทย สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการสนับสนุน “อุตสาหกรรมเป้าหมาย” ของประเทศ โดยสินเชื่อจากนโยบายของรัฐบาล มี “จุดเด่น” คือ คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน แบ่งเป็น สินเชื่อ 3 โครงการ ประกอบด้วย
1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” สำหรับสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการติดตั้งระบบอุปกรณ์ ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์ เพื่อใช้พลังงานสะอาด และมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว เช่น ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ในอุตสาหกรรมผลิตหรือบริการสีเขียว โรงงาน ร้านอาหาร โรงแรม เพื่อช่วยลดต้นทุนพลังงานในระยะยาว หรือมีกระบวนการผลิตหรือเทคโนโลยีเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท
2.สินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท นำไปใช้ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ รวมถึง หมุนเวียน และเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ เช่น ร้านโชห่วย/ขายปลีก ร้านอาหาร ธุรกิจดิจิทัล/อิเล็กทรอนิกส์ ร้านขายยา และ แฟรนไชส์รายย่อย เป็นต้น วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 1.5 ล้านบาท
3.สินเชื่อ “Beyond ติดปีก SME” สำหรับผู้ประกอบการเอส
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 106 ครั้ง